สารจากประธานกลุ่ม

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ กลุ่มบริษัท (ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป) มีการเติบโตที่สูงสุด เป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ต่อเนื่องจากปี 2565 ดังสะท้อน จากรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิที่สูงสุดเป็น ประวัติการณ์ พร้อมทั้งยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย ซึ่งตอกย้ำศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจและการเป็นผู้นำ ในฐานะผู้พัฒนาด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัล ทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม โดยในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมและ ส่วนแบ่งกำไรเท่ากับ 17,015 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้าทั้งสองรายการ โดยมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติเท่ากับ 17,003 ล้านบาท และกำไรปกติ 4,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า ทั้งสองรายการ และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมเติบโตขึ้นเป็น 90,225 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายภายใต้พันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ในการสร้าง สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจน พัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน ด้วยศักยภาพจากระบบ ECO System ที่ครบวงจรและแข็งแกร่งของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ

บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และ กลุ่มบริษัท (ดับบลิวเอชเอ กรุ๊ป) มีการเติบโตที่สูงสุด เป็นประวัติการณ์ในปี 2566 ต่อเนื่องจากปี 2565 ดังสะท้อน จากรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไร และกำไรสุทธิที่สูงสุดเป็น ประวัติการณ์ พร้อมทั้งยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติมากมาย ซึ่งตอกย้ำศักยภาพความแข็งแกร่งทางธุรกิจและการเป็นผู้นำ ในฐานะผู้พัฒนาด้านโลจิสติกส์ นิคมอุตสาหกรรม ระบบสาธารณูปโภคและพลังงาน และดิจิทัล ทั้งในประเทศไทย และประเทศเวียดนาม โดยในปี 2566 บริษัทมีรายได้รวมและ ส่วนแบ่งกำไรเท่ากับ 17,015 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 4,426 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้าทั้งสองรายการ โดยมีรายได้รวมและส่วนแบ่งกำไรปกติเท่ากับ 17,003 ล้านบาท และกำไรปกติ 4,420 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9% จากปีก่อนหน้า ทั้งสองรายการ และมีมูลค่าสินทรัพย์รวมเติบโตขึ้นเป็น 90,225 ล้านบาท โดยมีเป้าหมายภายใต้พันธกิจ WHA: WE SHAPE THE FUTURE ในการสร้าง สังคม สิ่งแวดล้อม ตลอดจน พัฒนาประเทศชาติอย่างยั่งยืน ด้วยศักยภาพจากระบบ ECO System ที่ครบวงจรและแข็งแกร่งของทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจ

กลุ่มธุรกิจโลจิสติกส์ มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยใน ปี 2566 บริษัทมีการลงนามสัญญาเช่าโครงการ Built-to-Suit และโรงงาน/คลังสินค้าเพิ่มเติมรวมทั้งสิ้น 241,845 ตร.ม. ซึ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มีพื้นที่คลังสินค้าภายใต้ การถือครองและบริหารทั้งหมด 2,944,522 ตร.ม. สอดคล้อง กับแนวโน้มความต้องการเช่าพื้นที่คลังสินค้าคุณภาพสูงที่มี เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมกันนี้ บริษัทประสบความสำเร็จ ในการขายทรัพย์สิน และ/หรือ สิทธิการเช่าทรัพย์สินให้กับกองทรัสต์ WHART จำนวน 142,896 ตร.ม. คิดเป็นมูลค่ารวม 3,566 ล้านบาท

บริษัทยังมุ่งมั่นขยายธุรกิจโลจิสติกส์เพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการของลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ดังจะเห็นได้จาก การเริ่มพัฒนาโครงการคลังสินค้าให้เช่าแห่งแรกในประเทศ เวียดนาม ขนาด 35,000 ตร.ม. ตั้งอยู่ใกล้กับกรุงฮานอย ซึ่งคาดว่าจะดำเนินการก่อสร้างแล้วเสร็จและส่งมอบให้ กับลูกค้าได้ภายในช่วงสิ้นปี 2567 หรือต้นปี 2568 ขณะ เดียวกัน ยังมุ่งเน้นจัดหาบริการที่สามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้ แก่ลูกค้าด้วยการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมอัจฉริยะมาใช้ ในปีที่ผ่านมาได้เปิดตัวโครงการ Green Logistics ที่พัฒนาขึ้น เพื่อสนับสนุนและเร่งการใช้ยานยนต์ไฟฟ้าในภาคขนส่งของ ประเทศ ซึ่งบริษัท จะมีการให้บริการยานยนต์ไฟฟ้า สถานีชาร์จ และพัฒนาแอพพลิเคชั่นที่นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในการ บริหารจัดการยานยนต์ไฟฟ้ารวมถึงแบตเตอรี่

อีกความสำเร็จหนึ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่าน บริษัทได้เข้าซื้อหุ้นของบริษัท จีซี โลจิสติกส์ โซลูชันส์ จำกัด (GCL) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บมจ.พีทีที โกลบอล เคมิคอล (PTTGC) ในสัดส่วน 50% มูลค่า 2,640 ล้านบาท โดยการลงทุนดังกล่าว เป็นการ ผสานความเชี่ยวชาญ และความเป็นผู้นำในตลาดของทั้งสอง บริษัทเข้าด้วยกัน เพื่อเพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถในการ แข่งขัน ตลอดจนยกระดับการให้บริการกับลูกค้าไปพร้อม ๆ กัน

สำหรับธุรกิจ Office Solutions ปัจจุบัน บริษัทมี โครงการอาคารสำนักงานที่ทันสมัยจำนวน 5 แห่ง ในเขต กรุงเทพฯ และสมุทรปราการ มีพื้นที่รวมกว่า 120,000 ตร.ม. ซึ่งเพียบพร้อมด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ครบครันและ การออกแบบที่เหนือชั้น ทำให้ตอบโจทย์ความต้องการของ ผู้ประกอบการแต่ละกลุ่มประเภทธุรกิจ โดยมีโครงการใหม่ ได้แก่ โครงการ Quant Sukhumvit 25 ตั้งอยู่ย่าน สุขุมวิท-อโศก โครงการอาคารแบบ Mixed Use เพื่อการ พาณิชยกรรมที่ตั้งอยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าสุรศักดิ์ รวมถึงโครงการ Medical Center แบบ Built-to-Suit ซึ่งล่าสุดได้มีการลงนามในสัญญากับผู้เช่าและเริ่มดำเนินการก่อสร้างแล้วในปี 2566 ที่ผ่านมา

สำหรับธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรม บริษัทประสบ ความสำเร็จจากยอดขายที่ดินสูงสุดเป็นประวัติการณ์รวม 2,767 ไร่ แบ่งเป็นยอดขายที่ดินในประเทศไทย 1,986 ไร่ และ ประเทศเวียดนาม 781 ไร่ ปัจจุบันบริษัทมีพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ทั้งประเทศไทยและเวียดนามทั้งหมด 77,600 ไร่ รวม พื้นที่ซึ่งเปิดดำเนินการแล้วและอยู่ระหว่างการพัฒนา โดยอยู่ ระหว่างการเจรจาขายที่ดินให้กับลูกค้าจากหลายอุตสาหกรรม อาทิ อุตสาหกรรมยานยนต์ สินค้าอุปโภคบริโภค และอิเล็กทรอนิกส์ ฯลฯ

สำหรับนิคมอุตสาหกรรมในประเทศไทย บริษัทมีนิคมอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการในประเทศไทย จำนวน 12 แห่ง เป็นพื้นที่รวมกว่า 43,200 ไร่ นอกจากนี้ บริษัทยังได้ขยาย โครงการนิคมอุตสาหกรรมอีก 4 โครงการ ได้แก่ โครงการนิคม อุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 3 เฟส 3 (640 ไร่) โครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ ระยอง 36 เฟส 2 (480 ไร่) โครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์น ซีบอร์ด 4 เฟส 3 (330 ไร่) และโครงการนิคมอุตสาหกรรม ดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 2 เฟส 2 (600 ไร่) นอกจากนี้ บริษัท ได้มีการพัฒนาโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 2 โครงการ ได้แก่ เขตประกอบอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ สระบุรี 2 (2,400 ไร่) และ โครงการนิคมอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ อีสเทิร์นซีบอร์ด 5 (3,400 ไร่) ซึ่งคาดว่าจะสามารถเริ่มก่อสร้างได้ภายในไตรมาส 1/2568 อีกด้วย

ในส่วนของธุรกิจพัฒนานิคมอุตสาหกรรมในประเทศเวียดนาม ปัจจุบัน มีเขตอุตสาหกรรมที่เปิดดำเนินการแล้ว 1 แห่ง ได้แก่ เขตอุตสาหกรรมดับบลิวเอชเอ โซน 1 – เหงะอาน โดยมีพื้นที่รวม 13,125 ไร่ โดยบริษัทได้ดำเนินการก่อสร้างเฟส 1 พื้นที่ 900 ไร่ และอยู่ระหว่างการเร่งดำเนินการก่อสร้างเฟส 2 พื้นที่ 2,215 ไร่ ประกอบกับบริษัท ยังมีแผนการที่จะขยาย เขตอุตสาหกรรมอีก 3 โครงการ บนที่ดินรวมกว่า 22,815 ไร่ ประกอบด้วยเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone 1 - Thanh Hoa พื้นที่ 3,125 ไร่ ที่อยู่ระหว่างขั้นตอนการขอใบอนุญาตและคาดว่าจะเริ่มดำเนินการก่อสร้าง ได้ในช่วงปลายปี 2567 รวมถึงเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Technology Industrial Zone 2 - Thanh Hoa พื้นที่ 1,875 ไร่ และเขตอุตสาหกรรม WHA Smart Eco Industrial Zone - Quang Nam พื้นที่ 2,500 ไร่ ที่ได้มีการลงนามใน บันทึกข้อตกลงกับทางการองค์กรท้องถิ่นของประเทศเวียดนาม ไปแล้วในปี 2565 ที่ผ่านมา

นอกจากนั้น บริษัทยังคงมุ่งพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เชิงนิเวศน์อัจฉริยะ (Smart ECO Industrial Estate) อย่างต่อเนื่อง โดยขยายขีดความสามารถให้ครอบคลุม 6 องค์ ประกอบสำคัญคือ Smart Services, Smart Mobility, Smart Communication, Smart Power, Smart Water และ Smart Security ภายใต้การบริหารจัดการโดยศูนย์ควบคุม กลาง (Unified Operation Center) และต่อยอดการเป็น Total Solutions Partner ให้กับลูกค้าด้วยการให้บริการ ที่เกี่ยวเนื่อง

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค ในปี 2566 ปริมาณ ยอดขายน้ำและบำบัดน้ำเสียมีการเติบโตต่อเนื่อง โดยเติบโต 7% แบ่งเป็นในประเทศไทยเติบโต 4% ในเวียดนามเติบโต 18% โดยบริษัทมุ่งเน้นการเพิ่มผลิตภัณฑ์และโซลูชันให้มากขึ้น โดยเฉพาะการเดินหน้านำเทคโนโลยีสมัยใหม่อย่าง Artificial Intelligence (AI) ที่จะช่วยเสริมประสิทธิภาพการทำงาน ขณะเดียวกันยังมุ่งพัฒนาการให้บริการใหม่ ๆ ที่ครบวงจรมาก ยิ่งขึ้น อาทิ โซลูชันด้านสิ่งแวดล้อม และ การบริหารจัดการ น้ำเสียมาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด เพื่อลดการใช้น้ำดิบจากระบบ

สำหรับธุรกิจสาธารณูปโภค ในประเทศเวียดนาม ปัจจุบัน บริษัทให้บริการอยู่ 3 โครงการ ได้แก่ โครงการผลิตและ จำหน่ายน้ำในเขตประกอบการอุตสาหกรรม WHA Industrial Zone 1 จังหวัด Nghe An โรงบำบัดน้ำเสีย Duong River Surface และโรงผลิตและจำหน่ายน้ำประปา Cua Lo โดย ในปี 2566 มีปริมาณยอดขายและบริหารน้ำในเวียดนาม อยู่ที่ 34 ล้านลูกบาศก์เมตร

สำหรับธุรกิจพลังงาน ในปี 2566 รายได้และส่วนแบ่ง กำไรปรับตัวดีขึ้นกว่า 117% จากปีที่ผ่านมา โดยเป็นผลมา จากส่วนแบ่งกำไรที่ปรับตัวสูงขึ้นของทั้งกลุ่มธุรกิจ IPP และ SPP ตลอดจนรายได้จากการขายไฟฟ้าจากโครงการโซลาร์ที่ เพิ่มขึ้นกว่า 60% อีกทั้งบริษัทเดินหน้าขยายพอร์ทการลงทุน ในการพัฒนาโซลูชันด้านพลังงาน โดยเฉพาะพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy) อย่างต่อเนื่อง โดยสิ้นปี 2566 บริษัท มีสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามสัดส่วนการถือหุ้นรวมอยู่ที่ 733 เมกะวัตต์ ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์ (COD) 659 เมกะวัตต์ โดยเป็นโครงการโซลาร์ 109 เมกะวัตต์ และในปีเดียวกันนี้ บริษัทได้รับการคัดเลือกจากคณะกรรมการ กำกับกิจการพลังงานให้ได้สิทธิ์เป็นผู้พัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงาน หมุนเวียนในรูปแบบ Feed in Tariff (FiT) เฟส 1 สำหรับ พลังงานแสงอาทิตย์จำนวน 5 โครงการ กำลังการผลิตไฟฟ้า ตามสัดส่วนการถือหุ้น 125 เมกะวัตต์

นอกจากนี้ บริษัท ยังผลักดันการพัฒนานวัตกรรม ด้านพลังงาน ได้แก่ สถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า แพลตฟอร์มการ ซื้อขายพลังงานไฟฟ้า (Peer-to-Peer Energy Trading) การ ซื้อขายใบรับรองเครดิตการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน (I-REC) รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนในธุรกิจ New S-Curve เช่น ระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ และ เทคโนโลยีการดักจับ การใช้ประโยชน์ และการกักเก็บคาร์บอน เป็นต้น และยังแสวงหาโอกาสในการลงทุนในสาธารณูปโภค และพลังงานในรูปแบบต่างๆ ทั้งในประเทศไทยและประเทศ เวียดนาม

สำหรับธุรกิจดิจิทัล บริษัทมุ่งมั่นเดินหน้าการทรานส ฟอร์มองค์กรสู่ดิจิทัล เพื่อก้าวสู่การเป็น Technology Company ภายในปี 2567 โดยได้ปรับเปลี่ยนองค์กรตั้งแต่การวางกลยุทธ์ ทางธุรกิจ ทรัพยากรบุคคล วัฒนธรรม ไปจนถึงขั้นตอนการทำงานของทุกฝ่าย เพื่อขับเคลื่อนองค์กรให้มีศักยภาพพร้อมรับมือกับยุคดิจิทัล ขณะเดียวกัน บริษัทมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนและสร้างความเปลี่ยนแปลงเชิงบวกทั้งด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ภายใต้ภารกิจ “Mission To The Sun" ซึ่งประกอบด้วย 9 โครงการที่มีวัตถุประสงค์หลักในการทรานส ฟอร์มธุรกิจสู่ดิจิทัล สร้างผลิตภัณฑ์และมูลค่าเพิ่มใหม่ ๆ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า เสริมศักยภาพของระบบนิเวศทางธุรกิจ ของกลุ่มบริษัท ให้ครบวงจรยิ่งขึ้น โดยมีโครงการที่มีความ คืบหน้าอย่างเป็นรูปธรรม ได้แก่ โครงการ Green Logistics ซึ่งอยู่ระหว่างการพัฒนาแอปพลิเคชันที่รวมบริการต่าง ๆ (Green Mobility Platform) สำหรับลูกค้ายานยนต์ไฟฟ้า ภาคธุรกิจ อาทิ การบริหารยานพาหนะ (Fleet Management) การวางแผนเส้นทาง (Route Optimization) และการเชื่อมโยง โครงข่ายสถานีอัดประจุยานยนต์ไฟฟ้า (EV Roaming) และ โครงการ Digital Health Tech ซึ่งได้พัฒนาแอปพลิเคชัน WHAbit ที่ช่วยให้สามารถจัดการสุขภาพแบบองค์รวม อาทิ การเข้าถึงข้อมูลสุขภาพย้อนหลัง การปรึกษาปัญหาด้านสุขภาพ กับแพทย์ผ่านทางวิดีโอคอล โดยบริษัทมีแผนเริ่มต้นการให้ บริการแอปพลิเคชันแก่ลูกค้าในอุตสาหกรรมในช่วงครึ่งแรก ของปี 2567 ที่จะถึงนี้

สำหรับด้านรางวัลความสำเร็จในปีที่ผ่านมา บริษัทได้รับ รางวัลอันทรงเกียรติมากมาย อาทิ รางวัล SET Awards จำนวน 2 รางวัล ได้แก่ รางวัล Best Sustainability Excellence Award สำหรับบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และรางวัล Commended Sustainability Excellence Award สำหรับบริษัท ดับบลิวเอชเอ ยูทิลิตี้ส์ แอนด์ พาวเวอร์ จำกัด (มหาชน) รวมถึง รางวัล Prime Minister Award สาขา Innovation for Global Challenge รางวัล Outstanding Award at EIA Monitoring Awards 2023 รางวัลสุดยอด องค์กรนายจ้างดีเด่นของคินเซนทริค แห่งประเทศไทย ประจำปี 2023 (Kincentric Best Employer Award Thailand 2023) และรางวัลนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศในงาน Eco Innovation Forum 2023

นอกจากนี้ บริษัทยังได้รับการจัดอันดับให้อยู่ในรายชื่อหุ้น ยั่งยืนประจำปี 2566 (THSI) ในฐานะ “Sustainable Stocks" รวมถึงการได้รับรองจาก 2023 S&P Global Sustainability Yearbook โดยล่าสุด ยังได้รับการประเมิน SET ESG Ratings ปี 2566 ที่ระดับ “AAA” ซึ่งเป็นเรทติ้งระดับสูงสุด นับเป็น การติดรายชื่อหุ้นยั่งยืน 4 ปีติดต่อกัน จึงถือเป็นการพิสูจน์ความ ตั้งใจของบริษัทในการขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน ในทุกมิติ ไม่เพียงแค่การดำเนินธุรกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังมุ่งมั่น สร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และ เศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย

สำหรับปี 2567 บริษัทยังคงตั้งเป้าหมายในการสร้าง การเติบโตทางธุรกิจของทุกกลุ่มธุรกิจ เพื่อตอกย้ำการเป็น ผู้นำ พร้อมมองหาโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมทั้งในประเทศและ ต่างประเทศ จากการใช้นวัตกรรมดิจิทัลและเทคโนโลยีใหม่ ๆ เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ดึงดูด การลงทุนใหม่ๆ และร่วมสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้ประเทศไทย โดย มีภารกิจสำคัญคือการบรรลุเป้าหมายที่จะเป็น Technology Company อย่างเต็มตัว ด้วยกลยุทธ์ Al Transformation มุ่งสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลงด้าน ดิจิทัล ยกระดับการดำเนินงานด้วยข้อมูลและปัญญาประดิษฐ์ เพื่อคงความเป็นผู้นำในสภาพแวดล้อมทางธุรกิจที่เปลี่ยนแปลง อย่างรวดเร็ว และต่อยอดโครงการ Digital Transformation ที่มีอยู่กว่า 38 โครงการ พร้อมกันนี้ บริษัทตั้งเป้าที่จะดำเนินธุรกิจ ตามหลักเศรษฐกิจหมุนเวียนอย่างสมบูรณ์ภายในปี 2593 (100% Circularity by 2050) ผ่านการดำเนินงานภายใต้ 3 หลักการ ได้แก่ Design & Resource, Green Products และ Operation Excellence โดยในปี 2566 กลุ่มธุรกิจ ทั้ง 4 ได้มีการนำเสนอโครงการ Circular Economy ไม่น้อยกว่า 40 โครงการ

สุดท้ายนี้ ดิฉันในฐานะประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) และตัวแทนของคณะกรรมการและ คณะผู้บริหาร ขอขอบพระคุณทุกๆ ฝ่ายที่ให้การสนับสนุนธุรกิจ ของบริษัทมาโดยตลอด ทั้งท่านผู้ถือหุ้นที่ได้ให้ความไว้วางใจ ลูกค้าทุกท่านที่เลือกใช้บริการของบริษัท พันธมิตรทางธุรกิจ ทุกฝ่าย และกลุ่มสถาบันการเงินที่สนับสนุนการเติบโตทางธุรกิจ รวมทั้งขอขอบคุณคณะกรรมการ คณะผู้บริหาร และพนักงาน ทุกคน ที่ได้ให้ความไว้วางใจและความร่วมมือในการผลักดัน ธุรกิจของบริษัทให้เดินหน้าและเติบโตอย่างยั่งยืน เพื่อสร้าง คุณค่าแก่สังคม ผู้ถือหุ้น ลูกค้า และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุก ๆ ฝ่ายต่อไป

คุณจรีพร จารุกรสกุล
ประธานคณะกรรมการบริหาร และประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน)